เคลียร์คัท ตอบปฐมพงษ์กรณีธรรมกาย



ตอบคุณปฐมพงษ์  โพธิ์ประสิทธินันท์ กรณี ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

มีคนส่งข้อความที่คุณปฐมพงษ์เขียนตอบ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร 'กรณีวัดพระธรรมกาย' ผ่านทางเฟสบุ๊คมาให้ผมอ่านเมื่อเช้านี้ 

โดยไม่มีใครขอความเห็นจากผมแต่อย่างใด แต่เผอิญผมว่างไม่รู้จะทำอะไร เลยอยากแสดงความเห็นไว้สักเล็กน้อย (แม้จะไม่มีใครร้องขอก็ตาม)

หลังจากที่อ่านข้อความจบแล้ว ผมมีความรู้สึกกับ คุณปฐมพงษ์ เหมือนกับที่คุณมีต่อ ดร.วีรพงษ์ เลยครับ ความจริงผมเพียงแต่อยากจะบอกว่า คุณปฐมพงษ์ ยังไม่ได้ศึกษาปัญหาว่าด้วยคดีวัดพระธรรมกายอย่างละเอียด 

หรือถ้าคิดว่าละเอียดแล้วก็คงละเอียดในระดับที่ยังลึกซึ้งไม่พอ จึงมองไม่เห็นเนื้อความระหว่างบรรทัดที่ปรากฏใน คดีของวัดพระธรรมกาย 

ซึ่งไม่ใช่คดีหมักหมม แต่เป็นคดีหรือบางทีก็แค่คนกลุ่มหนึ่งหาเรื่องถล่มโจมตีวัดพระธรรมกายทุกครั้งที่ได้โอกาสมากกว่า  

นอกจากนั้น ผมยังอยากจะบอกอีกว่าแม้คุณปฐมพงษ์จะมีความรู้เกี่ยวกับศาสนา  หรือกระทั่งเคยเป็นนาคหลวงได้บวชเรียนมา แต่พออ่านความเห็นแล้วมันแสดงให้เห็นว่าพื้นฐานความรู้ทางพุทธศาสนาของคุณก็อ่อน ไม่พอจะวิจารณ์ความคิดเห็นของคนอื่นด้วยซ้ำเช่นกัน

โชคดีว่าสิ่งที่ผมอยากจะบอกนั้น ผมยังเพียงแค่คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกมาตรง เพราะผมรู้ตัวว่าพื้นฐานก็อ่อนเหมือนกัน แต่เพราะยังเป็นคนธรรมดาสามัญจึงอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าแม้อ่อน แต่น่าจะพอวิจารณ์คนอื่นได้บ้างพอสมควร

ที่ผมบอกพื้นฐานน้อยเพราะตั้งแต่ผมได้อ่านที่ พระพุทธเจ้าตรัสหลังจากตรัสรู้ธรรมใหม่ (พระวินัย มหาวรรค) ทรงปรารภว่า

" บัดนี้ เรายังไม่ควรจะประกาศธรรมที่เราได้บรรลุแล้วโดยยาก เพราะธรรมนี้ อันสัตว์ผู้อันราคะโทสะครอบงำแล้ว ไม่ตรัสรู้ได้ง่าย สัตว์ผู้อันราคะย้อมแล้ว ถูกกองอวิชชาห่อหุ้มแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันละเอียดลึกซึ้ง ยากที่จะเห็น ละเอียดยิ่ง อันจะยังสัตว์ให้ถึงธรรมที่ทวนกระแส คือ พระนิพพาน "

หมายถึงว่า 

ขนาดมนุษย์ในสมัยพุทธกาลก็ยังกิเลสหนาปัญญาหยาบเกินกว่าจะปฏิบัติให้ตรัสรู้ตามพระองค์ได้เลย นับประสาอะไรกับพวกเราในยุคนี้ แค่อ่านให้พอเข้าใจก็ยังยากเต็มทน เรื่องทำให้ได้ผลนั้นแทบไม่ต้องพูดถึงเลย

เพราะเหตุนั้น ผมจึงคิดว่าเราท่านควรเจียมตัว ระมัดระวังถ้อยคำเวลาต้องวิจารณ์ผู้อื่นใ้ห้มากไว้ เพราะเรายังห่างไกลจากคำว่ารู้จริงอีกเยอะทีเดียว

ตราบใดที่ยังปฏิบัติไม่ได้มรรคผล ทุกคนไม่ว่าจะอ่านคำสอนของพระองค์มามากแค่ไหน ก็ยังเป็นเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโคในศาสนาของพระองค์อยู่ดี อย่างคุณปฐมพงษ์เคยบวชมาเป็น 10 ปี ก็คงรู้ดีว่ามันยากกว่าจะเปลี่ยนตัวเองจากคนรับจ้างเลี้ยงมาเป็นเจ้าของโค

ยกตัวอย่างคำสอนที่ดูเหมือนง่าย เช่น อิทธิบาท 4 เราท่องกันได้ตั้งแต่เด็ก ว่าได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เวลาใครถามว่าทำอย่างไรจึงจะทำงานการได้สำเร็จ 

พระมักตอบว่าให้เอาอิทธิบาทไปใช้ อยากเรียนหนังสือเก่ง อยากสอบได้ที่ 1 ก็ใช้อิทธิบาท 4 ฟังแล้วเหมือนธรรมนี้ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร

แต่พอไปเจออิทธิบาท 4 แบบที่พระองค์ใช้ ทรงบอกว่าตถาคตสามารถหายตัวไปปรากฏในพรหมโลกได้ด้วยการเจริญอิทธิบาท

อ่านมาถึงตรงนี้ผมก็จนด้วยเกล้าแล้วครับว่าทำได้อย่างไร ไอ้ที่คิดว่ารู้จึงต้องเก็บพับไว้ เพราะธรรมะมีนัยยะลึกกว่าที่เราคิดว่าเข้าใจไปเยอะเลย เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่รู้ จึงเจียมตัวว่าเรายังห่างจากคำว่ารู้อีกไกล ตัวที่เคยพองก็แฟ่บลงไปในทันที

ก็ขอแสดงความเห็นต่อคำวิจารณ์ของคุณปฐมพงษ์ในฐานะผู้รู้น้อยอย่างนี้นะครับ



1.วัดพระธรรมกายทำผิด 3 กระทง

ท่านให้ ดร.วีรพงษ์เปิดใจให้กว้าง ว่าวัดพระธรรมกายทำผิด 3 กระทง

1. อธิบายธรรมผิด โดยเฉพาะคำสอนว่านิพพานเป็นอัตตา 

2. ทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายฟอกเงินและรับของโจร ซึ่งรัฐบาลมีหลักฐานพร้อม 

3. ทำผิดพระวินัย โดยเฉพาะปาราชิก ทั้งทุติยปาราชิกและจตุตถปาราชิก

ผมกลับเห็นว่าคนที่ควรเปิดใจให้กว้างก่อนคือคุณปฐมพงษ์นั่นแหละครับ เพราะ ดร.โกร่ง ท่านก็ให้ความเห็นบนพื้นฐานความเข้าใจของท่าน มีเหตุมีผลที่รับฟังได้ เป็นภาพกว้าง ที่มองในหลายบริบทของสังคมไทย 

ผมเข้าใจที่ ดร.โกร่ง พูดถึงนะ แม้ว่าท่านจะแตะเบาไปหน่อยก็ตาม แต่ท่านลึก มีความรู้กว้างขวางและยอมรับว่าเข้าใจสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศาสนา และประวัติศาสตร์ของไทยมากกว่าที่ผมเข้าใจเยอะเลย

ปัญหา 3 ข้อของวัดพระธรรมกาย ถ้าพิจารณาให้ถ่องแท้จะเห็นว่าไม่ได้หมักหมมอะไรเลย


1.1 สอนผิดว่านิพพานเป็นอัตตา ผมถามคุณปฐมพงษ์ง่าย สัก 2 คำถามครับว่า

(1) ช่วยหาพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานเป็นอนัตตาตรง มาให้ดูหน่อยครับ 

อยากเห็นเหลือเกิน เพราะถ้ามันมีอยู่ ปัจจุบันคงไม่มีการเถียงกันแล้วละครับ เรื่องนิพพานเป็นอะไร 

เขาถกกันมาตั้งหลายร้อยปีแล้ว ไม่มีใครยอมใคร เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างพุทธพจน์ที่ตีความไปได้ทั้งสองทางมาสู้กัน เพียงแต่คนเชื่อไปทางอนัตตาดูจะมากกว่าเท่านั้นเอง 


ซึ่งความจริงนิพพานจะเป็นอัตตาหรืออนัตตาก็ช่าง พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับการปฏิบัติให้เข้าถึงนิพพาน และไม่เคยมีพระอรหันต์ที่เข้าถึงนิพพานเถียงกันด้วยเรื่องนี้ 

มีแต่ปุถุชนคนที่ยังไปไม่ถึงนี่แหละมานั่งเถียงกัน เถียงทั้งที่ต่างก็ไม่เคยเห็นแต่อวดว่ารู้ น่าอดสูครับเหมือนคนตาบอดทะเลาะกันว่าม้าหน้าตาเป็นอย่างไร


(2) ช่วยหาคุณสมบัติของนิพพานที่ตรงหรือไปทางเดียวกับคุณสมบัติของอนัตตาให้ดูหน่อยครับ 

ผมเห็นแต่พระพุทธเจ้าให้ละสิ่งที่เป็น อนัตตา เพราะเป็นทุกข์ แต่ให้ไปแสวงหานิพพาน เพราะเป็นสุข 

ถ้านิพพานเป็นแบบเดียวกับอนัตตา จะต้องไปหาทำไมครับ ลองช่วยกันหาดูนะครับ ใครหาเจอบอกด้วย อยากกราบงาม แต่ถ้าไม่เจอ ก็อย่าเพิ่งไปวุ่นวายกับนิพพานว่าเป็นอะไรนักเลย เหนื่อยแทนครับ 

เหมือนตอนนักดาราศาสตร์ปลดดาวพลูโตออกจากระบบสุริยะ มีใครรู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนไปไหม  นิพพานจะเป็นอะไร ไม่ได้ทำให้สัจธรรมเปลี่ยนไปหรอกครับ 


ตอนนี้แค่จะ ทำให้คนไทยมีศีล 5 เป็นปกติยังทำไม่ได้เลยบ้านกำลังไฟไหม้ แต่คิดจะไปแก้ไขปัญหาสงครามซีเรียไกลตัวไปครับ

วัดพระธรรมกายจะสอนว่านิพพานเป็นอย่างไร ผมไม่มีปัญหาพุทธศาสนาก็ยังเป็นพุทธศาสนาอยู่วันยังค่ำ ไม่ได้ล้มพังอะไร ที่ ดร.โกร่ง กล่าวไว้ ผมเห็นด้วยครับ


2.1 ทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมาย ฟอกเงินและรับของโจร ซึ่งรัฐบาลมีหลักฐานพร้อม

นี่ก็กล่าวหาเขามั่วนะครับ ประเทศนี้อยู่ด้วยกติกาครับ ดังนั้นต้องดูตามกติกา อย่าเพิ่งตัดสินใคร ถ้าศาลยังไม่ตัดสินไปถึงที่สุด 


พระธัมมชโยถูกกล่าวหา เป็นแค่ผู้ถูกกล่าวหาครับ ยังไม่ได้เป็นโจร ต้องถือว่าท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ที่ DSI ทหาร ตำรวจสนธิกำลังตามจับนั้น ด้วยข้อหาไม่ไปพบเจ้าพนักงานตามหมายเรียก 

จึงไปขออำนาจศาลออกหมายจับ จับคนที่ขัดหมายเรียก ซึ่งมีโทษจำคุก 10 วัน หรือปรับ 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (อุกฉกรรจ์มาก)

ที่จริงรัฐบาลไม่มีหลักฐานพอหรอกครับ อัยการพิเศษของ DSI ส่งเรื่องไปฟ้องศาล ก็ถูกอัยการตีกลับมาว่าให้มาสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาเพิ่มเติม (แสดงว่าที่มีอยู่ไม่หนักแน่นพอจะฟ้องได้

จึงต้องมาโกลาหลตามจับเขายังไงล่ะครับ ศึกษาคดีหน่อยครับ อย่าเอาแค่พอมีเวลาว่างก็มาตอบแบบขอไปที เพราะคุณมีเครดิตในสังคมจะเขียนอะไรต้องระวังให้มากครับ

กรณีรับของโจร 

มีพระรูปไหนหรือองค์กรการกุศลที่ใดถามผู้บริจาคไหมครับ ว่าไปเอาเงินมาจากไหน ขโมยมาหรือเปล่า ขนาดหลวงพ่อคูณท่านยังเคยบอกว่า "กูก็รับ" เลยครับ

ฟอกเงิน 

เงินจะกลับไปหาผู้ฟอกตามวงจรการฟอกเงิน แต่เงินที่รับบริจาคมา ธรรมกายเอาไปสร้างศาสนสถานตามที่ผู้บริจาคต้องการนะครับ ปปง.มาตรวจสอบเส้นทางเงิน พบว่าถูกต้อง 

ยังให้ข่าวว่าไม่สามารถยึดศาสนสถานได้ ไปอ่านดูกัน เพราะเป็นสมบัติกลางของวัด ของศาสนา ไม่ใช่ของพระธัมมชโยหรือใคร จึงไม่ใช่ฟอกเงินนะครับ


3.1 ทำผิดพระวินัย โดยเฉพาะปาราชิก ทั้งทุติยปาราชิกและจตุตถปาราชิก

ข้อนี้ยิ่งหนัก เพราะคำกล่าวหาที่เลื่อนลอยเกินไป ขโมย ต้องไปดูว่ามีจิตคิดจะลักไหมครับ จะกล่าวโทษโดยที่ตัวเองไม่ได้รู้จริง แค่อ่านจากข่าวตามหนังสือพิมพ์หรือดูโทรทัศน์มันหยาบเกินไปครับ

ส่วนอุตริมนุสธรรม นี่ก็ต้องไปอ่านมาเยอะ ครับ ว่าอาการอย่างไรจึงเรียกว่าอวด เงื่อนไขมันเยอะครับ ใจเย็น ผมขอยกตัวอย่างดีกว่า

มีพระรูปหนึ่งพักอยู่ในวิหารของอุบาสกคนหนึ่ง อยู่ดี พระท่านก็พูดกับอุบาสกว่า

 "อุบาสก ภิกษุผู้อยู่ในวิหารของท่านเป็นพระอรหันต์" พระท่านเกิดรู้สึกรังเกียจตัวเองที่พูดอย่างนั้นออกไป จึงไปกราบทูลพระพุทธเจ้า 

พระองค์ถามว่า "เธอคิดอย่างไร" ท่านตอบว่า "ข้าพระพุทธเจ้าจะพูดอวดพระพุทธเจ้าข้า"

คุณว่าท่านปาราชิกไหมครับ ? ลองทายกันดู

พระองค์ตอบว่า "ภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย "


ปาราชิกมันเรื่องเป็นเรื่องตายของพระครับ 

อย่าเอามาพูดปรับอาบัติกันง่าย นึกถึงโทษประหารในทางโลกน่ะครับ บางคดีเราคิดว่าควรประหารซะ แต่ศาลกลับตัดสินจำคุกแทนไม่กี่ปีก็ออกมาอีกแล้วไม่เคยเห็นเหรอครับ...

บ้านมีกฎบ้าน วัดมีกฎวัดครับ อย่าเอาความคิดเราเป็นตัวตั้ง และอย่าเที่ยวได้ไปกล่าวหาผู้อื่นในเรื่องที่เราไม่ได้รู้จริง

เรื่องวัดพระธรรมกาย 

ไม่ว่าจะสื่อเมืองนอกหรือใครที่คร่ำหวอดในแวดวงการเมืองไทยก็รู้ครับว่ามันเป็นเรื่องการเมือง เพราะรัฐลุกลี้ลุกลนอย่างประหลาดผิดปกติ 

คุณปฐมพงษ์ไม่คิดว่าเป็นการเมืองนี่ทำให้ผมแปลกใจนะครับ.!


คุณบอกว่า ...

"การเมืองสมัยรัฐบาลเลือกตั้งไม่สามารถจัดการกับกรณีวัดพระ ธรรมกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเปิดโอกาสให้มีการวิ่งเต้น แต่รัฐบาลคสช.ไม่เปิดโอกาสเท่านั้นเอง"

ผมกลับมองว่า การเมืองสมัยรัฐบาลเลือกตั้ง ที่ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันทางกฎหมาย รัฐบาลไม่สามารถสู้วัดเขาได้ตามกติกามากกว่าครับ 


อย่างกรณีคดีปี 2542 ยุคนายกชวน พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนักการเมือง ทั้งสื่อ ทั้งพระ ฆราวาสที่เกลียดธรรมกายอยู่แล้วร่วมกันถล่มวัดเขา แต่ทำอะไรไม่ได้ 

ทั้ง ที่ธรรมกายก็ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนาน 7 ปี โดยที่ไม่ทราบหรอกว่ารัฐบาลถัดมาจะมีท่าทีอย่างไร จะไปวิ่งเต้นยังไง แสดงว่าเขาสู้ในกรอบนะครับ 

เพียงแต่ตามกรอบแล้ว หลักฐานมันไม่พอจะจัดการเขา และแน่นอน คนเกลียดวัดก็ไม่ชอบให้จบแบบนี้

ส่วนรัฐบาล คสช. ไม่ต้องเปิดโอกาสให้วิ่งเต้นอะไรหรอกครับ เพราะวัดก็ดูจะไม่ได้วิ่งเต้นอะไรเห็นเขาขอแค่ความยุติธรรม 

แต่รัฐบาลก็ชอบเล่นนอกกติกา ใช้อำนาจเกินตัวจนเคยตัวมาจัดการวัด ซึ่งใครก็เห็นว่ารัฐทำเกินไป บอกตามตรงผมอายชาวโลกเขาครับ

.44 เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืนครับ ไม่มีประเทศประชาธิปไตยที่ไหนเขาให้อำนาจคนกลุ่มหนึ่งอย่างไร้ขีดจำกัด ทำไปแล้วไม่ต้องรับผิดชอบอย่างนี้ คงจะมีแต่ทาสละครับที่แฮปปี้ 


ผมคิดว่าคนไทยต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนที่เห็นต่าง บนกติกาที่เป็นสากลให้ได้ ปรับตัวกันไปครับ .44 มันแก้ปัญหาในโลกสมัยใหม่ไม่ได้หรอก  คนไหนที่คิดว่าได้ทยอยออกมาจากถ้ำกันได้แล้วครับ

บอกตามตรงว่าผิดหวังที่คุณปฐมพงษ์ เห็น คสช. มีความชอบธรรมนะครับ แอบเสียดายนี่ขนาดเป็นอาจารย์ในมหิดลนะครับ

ถ้าคุณปฐมพงษ์สงสัย ก็ต้องไปศึกษาเอาเองว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างที่ผมว่าหรือเปล่า จะสรุปเรื่องราวจากความไม่รู้ส่วนตัว หรือวัดจากความรู้ส่วนตัวเป็นที่ตั้งไม่ได้ครับ


2.คุณว่าสมาธิแบบวัดพระธรรมกายเป็นสมถะ

จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะครับ ทำให้มันได้ก่อนเถอะ สมถะ แปลว่า จิตสงบหรือใจหยุดนิ่งเป็นสมาธิ ถามตัวเองว่าทำได้หรือยังครับ 

ถ้ายังก็ฝึกทำไปเถอะ จะสมถะหรือวิปัสสนาก็เอาตามสบาย สมมุติวัดธรรมกายเป็นสมถะ คุณทำสมถะได้แล้วก็ไปเรียนวิปัสสนากับวัดอื่นต่อก็ได้ครับ แต่ถ้าสมถะก็ยังทำไม่ได้ ก็ป่วยการจะมาเถียงกันว่าสมาธิแบบไหนเป็นสมถะ แบบไหนเป็นวิปัสสนา 


อย่างคุณปฐมพงษ์เอง ถ้าสมัยบวชได้สมถะเป็น อย่างน้อยป่านนี้คงยังบวชและเป็นเจ้าคุณไปแล้ว แต่ผมเดาว่าน่าจะยังไม่ได้สมถะหรือวิปัสสนาจึงลาสิกขาไป 

แสดงว่าแม้แต่พระ ก็ใช่ว่าจะทำสมถะได้ง่าย นับประสาอะไรกับโยมวัดธรรมกายที่ยังทำมาหากินครับปล่อยเขาทำสมถะไปเถอะ

หลวงพ่อสดตามประวัติ ท่านไม่ได้รู้สึกว่าสมาธิของท่านผิดพลาดจนต้องไปขอคำแนะนำจากท่านเจ้าคุณโชดกนะครับ มีแต่ท่านเจ้าคุณอยากให้หลวงพ่อสดสอน

สมาธิแบบที่ท่านเจ้าคุณไปศึกษาจากพม่ามา (ไปอ่านประวัติกันเองนะครับ) ซึ่งหลวงพ่อสดก็รับรองว่าแบบที่เจ้าคุณสอนก็ถูกต้องตามหลักสติปัฏฐาน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา 


ถ้าสมมุติเปลี่ยนเป็นหลวงปู่มั่นมา หลวงพ่อสดก็คงรับรองว่าถูกต้องเหมือนกันไม่เชื่อไปดูที่หลวงพ่อสดสอนสมาธิสิครับ จนวันมรณภาพท่านไม่เคยสอนแบบเจ้าคุณโชดกเลยสักครั้งเดียว ยังคงแน่วแน่สอนสมาธิแบบเดิมของท่าน 

ไปศึกษาให้ดีครับอย่าให้ใครมาว่าได้ว่าไปตู่หลวงพ่อสดเข้าลูกศิษย์เขาจะเคือง


3.วัดธรรมกายไม่ต้องยอมรับว่าเป็นอะไร

ผมเห็นว่าวัดธรรมกายไม่จำเป็นต้องไปยอมรับว่าเป็นสมถะหรืออะไร 

เพราะสิ่งที่สอนมีอยู่ในพระไตรปิฎกเถรวาทจริง คำว่าธรรมกายมีปรากฏอยู่ตั้งหลายแห่ง 


สมัยนี้มีพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ใช้ เสิร์ชหาแป๊บเดียวก็รู้แล้วครับว่ามีจริงไม่จริงดังนั้น ธรรมกายจึงยังเป็นเถรวาทไม่ใช่มหายาน บางทีผมยังว่าเขาเคร่งครัดกว่าวัดเถรวาทหลายวัดด้วยซ้ำไป

หลวงพ่อพุทธทาส ก็เคยเอาคัมภีร์ของมหายานบ้างเซ็นบ้างมาสอน ก็ไม่เห็นท่านจะต้องไปเป็นมหายานหรือเซ็น 

ท่าน .วชิรเมธี ก็เคยไปปฏิบัติธรรมกับท่าน ติช นัท ฮันห์ ก็ไม่เห็นว่าท่านจะต้องเปลี่ยนไปเป็นเซ็น 

พระไทยหลายรูป ก็เขียนหนังสือแนวเซ็นออกเผยแพร่ แบบนี้ต้องเปลี่ยนนิกายกันไหมครับ

ในมหาเถรสมาคม มีทั้งธรรมยุติกนิกาย และมหานิกาย ทั้งสองนิกายนี้ก็แยกกันปกครอง ไม่ร่วมสังฆกรรมกันถือว่าอยู่คนละนิกาย แต่ก็อยู่ด้วยกันได้ไม่เห็นต้องแบ่งแยกอะไรขนาดนั้นเลย

ทุกวันนี้ชาวพุทธนิกายไหน ก็พยายามสมานสามัคคีกันไว้ทั้งนั้น เพราะต่างมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความดี นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสอนคนให้เป็นคนดี 

ขืนมัวมาตีกันเรื่องจุกจิกแบบนี้ ฉันถูก คุณผิด สักวันพุทธจะถูกไล่บี้จากศาสนาอื่นจนจมดินครับ นกกระจอกทะเลาะกัน ระวังเหยี่ยวข้างหลังไว้บ้างครับ

ถ้าไม่ชอบธรรมกาย ผมว่านะ คุณปฐมพงษ์ ต้องไปให้เถรวาทแท้ อย่างที่คิด สร้างผลงานให้มากกว่าธรรมกายเขาครับ ไปสอนคนไทยอย่างที่ท่านคิดไว้นั่นแหละ 

ลงมือทำให้มากครับ เอาแต่ด่าว่าไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอกครับ ธรรมกายก็แค่วัด เดียว ไม่น่ากลัวหรอกเชื่อผม


4.เรื่องพระเวสสันดร

พระพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญ บารมีทั้ง 10 ให้ครบสมบูรณ์มี ทานบารมี เป็นต้น โดยเฉพาะชาติที่เป็นพระเวสสันดรได้ทำ ปรมัตถบารมี อย่างเต็มที่ 

คุณปฐมพงษ์บอกว่าท่านรู้ว่าชาติต่อไปจะเป็นพระพุทธเจ้า ที่จริงท่านไม่รู้นะครับ (ถ้ารู้ได้นี่เซียนแล้วครับ) แต่ที่ท่านทำไปเพราะมันเป็นจริตอัธยาศัยของท่านไปแล้ว คือทำทานสั่งสมมาข้ามชาติ จนบารมีใกล้เต็มเปี่ยม ใจท่านจึงยิ่งใหญ่อย่างนั้น

ชาตินี้พระเวสสันดรให้ลูกให้ภรรยา แต่ชาติก่อนหน้าท่านเคยให้ชีวิตตัวเองก็หลายครั้งแต่บารมีก็ยังไม่เต็ม ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีกมากมายนับชาติไม่ถ้วน เพราะบารมีมันต้องบ่มครับ ใช้เวลา ไม่ใช่ชาติเดียวจะพรวดพราดได้เลย 

เหมือนปลูกต้นไม้วันนี้ อยากให้โต ก็ต้องรดน้ำ พรวนดิน ดูแลให้ดี พอถึงเวลา ต้นไม้ก็โตเต็มที่ให้ดอกให้ผลเอง ไม่ใช่ปลูกปุ๊บ จะรดน้ำ 100 โอ่ง ใส่ปุ๋ย 100 กระสอบ ต้นไม้ก็ไม่โตทันทีหรอกครับบารมีก็เหมือนกัน คุณปฐมพงษ์ต้องทำความเข้าใจใหม่แล้วละมังครับเนี่ย

โยมของธรรมกาย เท่าที่เป็นข่าวยังไม่มีใครทำเท่าพระเวสสันดรสักคน มีแต่ทำคล้าย คือทำมาก ทำจริงจัง คือฝึกให้มีอัธยาศัยรักการทำทานเหมือนพระโพธิสัตว์นั่นเอง 

เรื่องที่คนธรรมกายทำจึงไม่แปลกประหลาดอะไร คนที่ทำยิ่งกว่าคนธรรมกายในพระไตรปิฎกมีตั้งเยอะแยะครับ

พระธัมมชโยเอาเงินไปลงทุนธุรกิจ เรื่องนี้เป็นความจริงหรือข้อกล่าวหาครับ ขอหลักฐานอ้างอิงด้วยจะเป็นพระคุณ (จากหนังสือพิมพ์เอียง ไม่เอานะครับ ถ้ามีจริง DSI คงไม่นิ่งแบบนี้หรอกครับ)

ส่วนหลักการแบ่งทรัพย์เป็น 4 ส่วน ที่พระพุทธเจ้าสอน ผมมองว่าท่านสอนเป็นเบื้องต้น เป็นกลาง เหมาะกับคนทุกประเภทครับ คืออย่างน้อยก็ทำให้มีความสุขในโลกนี้และโลกหน้าตามสมควร  

แต่เวลาสร้างบารมีพระองค์กลับไม่ทำแบบนี้นะครับ คือจะทรงทำเต็มที่เลยทีเดียว แสดงว่าถ้าอยากเป็นอย่างพระองค์ก็ควรทำตามท่าน แต่ถ้าอยากแค่พอไปได้ใช้ชีวิตสบายหน่อยก็ทำแบบแบ่ง 4 ส่วน 

จะทำแบบไหนก็ตามสบายครับ เงินเป็นของพวกคุณเลือกเอาเองเถอะ



5.การแผ่เมตตา กับการให้อภัย

การแผ่เมตตากับการให้อภัยไปด้วยกันได้ครับ ไม่ต้องแยกกัน แผ่เมตตา พระองค์ให้แผ่ให้ถ้วนหน้ากัน เพราะเห็นสรรพสัตว์เป็นเหมือนเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันหมด

ส่วน การให้อภัย ก็ทรงให้อภัยเสมอกันไม่ผูกเวรกัน 


แต่การให้อภัยเป็นคนละเรื่องกับ การลงโทษ ครับ คือแม้เขาถูกลงโทษก็ควรให้อภัย ส่วนโทษที่คนผิดต้องแบกรับไปเราก็ควรวางใจอุเบกขา

เรื่องของพระธัมมชโย คงยังไม่ต้องให้อภัยเพราะ ปัจจุบัน ไม่ว่าคดีทางโลกหรือทางธรรมก็ยังไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อยนะครับ (มีแต่คิดเองเออเองทั้งนั้น)


6.เต็มใจรักษาศีล 227 ข้อ

ผู้ที่บวช เต็มใจจะรักษาศีล 227 อยู่แล้วครับ แต่จะทำได้สมบูรณ์เพียงใดก็ยากจะเดา เพราะคนบวชยังเป็นปุถุชนมีโอกาสผิดพลาด 


พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงให้สามารถปลงอาบัติเพื่อแก้ไขตัวเองได้ ตรงไหนทำผิดเป็นบาป ก็ได้บาปไป แต่ไม่ใช่ผิดปุ๊บ นิด หน่อย ก็จะต้องไล่ให้พ้นความเป็นพระ

คุณปฐมพงษ์ตอนบวชเคยทำอะไรผิดบ้างไหมครับ เคยปลงอาบัติไหม ถ้าเคยก็จงเห็นคนอื่นเป็นเหมือนคุณนั่นแหละครับ 

คนอยากดีจึงมาบวชเป็นพระ แต่จะดีได้แค่ไหน นั่นอีกเรื่อง แต่ต้องเอื้อเฟื้อพระวินัยครับ


วัดพระธรรมกายค้าขาย พุทธพาณิชย์ ขายที่ดินในสวรรค์ มันบ่งบอกว่าผู้วิจารณ์ไม่เคยศึกษาสิ่งที่วัดเขาทำ อ่านแต่สื่อหรือดูเวปใส่ร้ายวัดเหมือนผมเมื่อก่อนแน่ ขายค้อนด้ามละ 25,000 บาท อะไรแบบนี้ใช่ไหมครับ 

ถ้าใช่อย่าไปคุยกับคนธรรมกายนะครับ เขาจะขำตายเอา.!

การทำทาน แล้วมีวิมานเกิดรองรับเจ้าของที่ยังมีชีวิตอยู่ มีอยู่จริงในธรรมบทนะครับ เรื่องนายนันทิยะ ไปลองอ่านกันดู แสดงว่าที่ธรรมกายพูดมันมีที่มาครับไม่ได้มั่ว


สุดท้าย

คุณปฐมพงษ์บอกว่า  

บทความ ดร.วีรพงษ์ มิได้มีเจตนาให้ใครมาตอบหลักการหรอกครับ ที่ท่านเขียนมาทั้งหมดนั้น เจตนาจะบอกอย่างเดียวว่า วัดพระธรรมกายถูก *คนชั้นสูง* และ *รัฐบาล* รังแกด้วยเหตุผลทางการเมือง "

จากที่ผมใช้ชีวิตในประเทศนี้มานาน และจากการติดตามข่าวสารการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบันมาบ้าง

ผมว่า ดร.วีรพงษ์พูดถูกนะครับ


คมความคิด
8 เมษายน 2560


อ้างอิง
บทความ ดร.วีรพงษ์

ความเห็นคุณปฐมพงษ์  โพธิ์ประสิทธินันท์

Previous
Next Post »