ปิดบัญชีทำบุญ ชิตังเม โป้ง รวย

กรณีปิดบัญชีทำบุญ

คำเตือน 

ปกติผมเป็นคนสุภาพ พูดจาไพเราะเสนาะหู แต่เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ภาษาให้เหมาะกับกลุ่มคนที่จะพูดให้เขาฟังจึงอาจหยาบหรือแรงไปบ้าง  ต้องขออภัยมันไม่ใช่ตัวตนของผมจริง เชื่อเถอะ...

ดังนั้น เด็กที่อายุต่ำกว่า 13 ปี ควรมีผู้ปกครองประกบ

มีน้องที่รู้จักเห็นว่าช่วงนี้ผมกำลังตื่นเต้นและสนุกกับการค้นคว้าหาอ่านเรื่องธรรมกายอย่างจริงจัง และหลายครั้งเริ่มเข้าข้างธรรมกาย  


จึงส่งคลิปที่ Drama Addict 


เอาไปลงมาให้ดูคลิปนั้นตั้งคำถามไว้ว่า "แนวทางที่ท่านทำกันอยู่ มันถูกต้องแล้วหรือ"

ในคลิปเอาคำพูดของ 1 คน กับ 1 รูป ความยาว 39 วินาที มาชนกันคนหนึ่งคือ 

อนันต์ อัศวโภคิน ลูกศิษย์แถวหน้าของธรรมกาย พูดชวนให้ลูกศิษย์วัดปิดบัญชีทำบุญ  

จากนั้นก็ตัดไปที่เสียงของ หลวงพ่อพุทธทาส พูดว่า 

"บุญอันแท้จริงนั้น ไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องใช้เงินมาก เป็นของให้เปล่า ไม่คิดสตางค์ยิ่งใช้เงินมาก ยิ่งไม่ใช่บุญ หรือถึงกับว่าบุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย 

ตามลิ้งก์ข้างล่างถ้าจะดู



น้องมันถามผมว่า พี่ว่าไง ?

ผมเปิดดูแล้วก็ขำว่าธรรมกายอีกแล้วเหรอวะ วัดนี้นี่ยังไงนะ มีศัตรูบานเลย อีกทางก็นึกไป ว่าคนเกลียดคำสอนของวัดนี้มันมีปมด้อยอะไรในวัยเด็กมาหรือเปล่า หรือวัดเขาไปเผาเล้าไก่ ปาไข่ใส่หลังคาบ้านมัน ถึงแค้นฝังหุ่นไม่เผาผีกันขนาดนี้

ผมเลยเล่าให้น้องฟังอย่างนี้ว่า...

เอาแบบยังไม่ต้องอ้างอิงตำรับตำราคัมภีร์อะไรเลยนะ (ซึ่งเดี๋ยวจะอ้างให้ฟังทีหลัง) แค่คิดตามสามัญสำนึกมนุษย์ธรรมดาทั่วไปก่อนก็พอ

บอกน้องว่า คนทำคลิปมันเอา 2 เรื่องนี้มาชนกันทำไมวะบริบทคืออะไรก็ไม่รู้ ก่อนและหลังคำพูดเหล่านี้คืออะไร 

บอกตรง ผมก็เดาไม่ได้หรอก เหมือนภาพจิ๊กซอว์ 250 ชิ้น มึงเอามาให้ดู 3-4 ชิ้น แล้วถามว่ารูปอะไรกูจะรู้มั้ยมึง 

เวลาดูอะไร บริบทมันสำคัญมากนไปตัดคำมาสั้น เพื่อจะชี้นำความคิดว่านี่ไง ธรรมกายเลวชวนปิดบัญชีทำบุญ

ทำคลิปมาซะขนาดนี้

ยังจะมีหน้ามาตั้งคำถาม จะบอกว่าทำมาเปรียบเทียบเป็นกลาง ให้พิจารณาเอาเองคงไม่ได้ เจตนามันสื่ออยู่แล้วว่าจะด่าธรรมกาย  แหม ทำเป็นถามว่าแนวทางมันถูกไหมทู่เรศว่ะ

สมมุติผมพูดอะไรนาน 30 นาที แต่มีอยู่ 2 วิ ที่ผมพูดว่า "พ่อมึงตาย" แล้วมันก็เอาท่อนนี้ไปทำคลิป ถามว่าคนดูจะรู้สึกอย่างไร 

แน่นอนมันก็ต้องหาว่าผมหยาบคายนิสัยไม่ดี แต่พอเอาคำพูดหน้ากับหลังคำนี้มาเปิดดูใหม่ปรากฏว่า คำเต็มมันคือ 

"ทุกท่านครับคำว่า พ่อมึงตาย เป็นคำที่ไม่สุภาพอย่าใช้นะครับ "

ก็เหมือนเวลาเราถ่ายภาพนั่นแหละ คนกินข้าวธรรมดา แต่ในจังหวะอ้าปากจะกิน ถ่ายมาแชะนึง เห็นแล้วโคตรขำมึงจะสวยหล่อมาจากไหนก็หน้าเหี้ยได้ทันที 

เรื่องแบบนี้เลิกสักทีได้ไหมว้า แล้วไปดูว่าแต่ละคนน่ะ เขาพูดแบบนั้นทำไม คือไปดูความตั้งใจ จุดมุ่งหมายที่เขาทำ เพราะมันคือการสื่อสารไม่ใช่คำให้การในศาลสักหน่อย

คราวนี้มาดูผลจากคำพูดของ 1 คน 1 รูป นั้นว่าสุดท้ายเกิดผลตามมาอย่างไร เผื่อจะได้อยู่กับโลกความจริงบ้างไม่จินตนาการฟุ้งซ่านไป 

คนเราไม่ใช่พอมีใครบอกให้ไปฆ่าตัวตายซะ แล้วจะบ้าไปตายตามกันจริง

สิ่งที่ธรรมกายโดนบ่อยมาก

1. คือการ quote คำ หรือตัดคลิป หรือให้ทั้งคลิปเลยเอ้า แล้วเอามาแชร์ มาโพสต์ซ้ำ ย้ำ  

จนเหมือนธรรมกายสอนหรือพูดแบบนั้นตลอดเวลา 

แต่เอาเข้าจริง บางทีปีหนึ่ง เขาพูดแบบนี้ 3-4 ครั้ง แล้วมันก็เอามาย้ำสักพันครั้ง จนคนมันนึกว่านี่แหละธรรมกาย อย่างอนันต์นั่นพูดแบบนี้กี่ครั้งกันวะ ดูแล้วไม่น่าบ่อยหรอก 

ก็เหมือนคลิปคนดังที่ถูกเอามาแฉน่ะ อย่างดีเจถอยรถชนเขา กำลังโกรธ ทำอะไรไม่ยับยั้งชั่งใจ เอามาเปิดแชร์วนไปมึงทำครั้งเดียว แต่ชีวิตดับสนิทบรรลัยจักรได้เลยนะมึง

โอเค...จากคลิปมันคงเป็นการพูดชวนบริจาคอะไรสักงานหนึ่งไม่อยากเดา แต่เรื่องนี้นะ ผมว่าคนธรรมกายนี่เจ๋งดี คือวัดนี้พอจะสร้างจะทำอะไร สังเกตดูเถอะว่าลูกศิษย์เขาจะรุมทำจนเสร็จน่ะไม่มียืดเยื้อให้เสียเวลา 

อย่างจะสร้างอาคารสักหลัง กี่ร้อยกี่พันล้านไม่รู้ ก็ตูมเดียวจบ ปิดจ็อบ 

จะสร้างหลวงพ่อสดทองคำ ก็ลุยกันไม่กี่เดือนเสร็จ

ส่วนเรื่องกลยุทธวิธี ที่ใช้เดี๋ยวค่อยคุย เอาแค่ความมุ่งมั่นก่อน อันนี้ชนะขาดไม่มีดินพอกหางหมู ทำกันเร็วแรง เป็นหนึ่งเดียวกันแข็งแกร่งมาก ยอมรับ

ผมเคยไปเห็นวัดต่างจังหวัดทางเหนือวัดหนึ่งทำพิธีฉลองศาลาหลังใหญ่ 2 ชั้น จุคนได้สัก 300-400 คน เจ้าอาวาสบอกว่ากว่าจะสร้างเสร็จใช้เวลาไป 20 ปี ผมงี้อึ้งเลย 

อาคารใหญ่ขนาดนี้ มีห้องน้ำสไตล์วินเทจแบบสมัยเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วอยู่ 10 กว่าห้อง สภาพศาลามีบางส่วนเก่าบางส่วนใหม่ เห็นแล้วน้ำตาจะไหล 

สงสารหลวงพ่อท่านมาก ว่าคงกังวลมาตลอด 20 ปี เพราะโยมมาทำบุญกันตามศรัทธา 50 บาท 100 บาท เจ้าภาพใหญ่ อาจมีหลักหมื่นบ้าง หลักแสนนี่นับหัวได้เลย 

มีเงินก็สร้างไปไม่มีก็หยุด สร้าง หยุด ทอดกฐิน ผ้าป่ามา 20 ปี เป็นกูทุบทิ้งไม่สร้างแม่งละเหนื่อย

ทีนี้ถ้าลองเอาคำในคลิปที่ท่านบอกว่า "บุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย" มาใช้ 

จะสร้างส้วมสักห้องชาตินี้ก็ไม่เสร็จหรอก เวลาโยมจะอึจะฉี่ หลวงพี่คงชี้ไปกลางทุ่ง โยมไปขุดหลุมกันเองเถอะ

ถามว่า...ทำบุญปิดบัญชีมีสักกี่คน?

2. มึงว่าที่เขาชวนปิดบัญชีน่ะ มีคนปิดบัญชีตามที่เขาชวนกี่คน นี่ก็เป็นข่าวที่ชอบออกมาเขย่าธรรมกายบ่อย เช่น 

ทำบุญจนหมดตัว ครอบครัวทะเลาะแตกแยกกัน พูดกันเมามันจนผมก็เกือบเชื่อตามแล้วดีที่ฉลาด เลยยังไม่ลงไปคลุกปลักกับไอ้พวกกลีบสมองง่อยพวกนั้น

เพราะมานั่งนึกว่า ไอ้ที่หมดตัวมันคือใครบ้างวะ กี่คน ชื่อแซ่อะไร บริจาคให้วัดไปเท่าไหร่ ไปแจ้งความหรือยัง.?

สรุป...ไม่รู้ว่ามันคือใครได้ยินแต่ข่าวเล่าต่อ กันมา 


อ่ะ สมมุติตกข่าวติ๊งต่างว่ามีสัก 10 คน 100 คนละกัน แต่เฮ้ย วัดนี้มีคนเข้าเป็นล้าน บริจาคหมดตัว เพราะหาว่าวัดหลอก 10-100 คน  มัน 0.001-0.01 % เองนะ ไม่มีนัยยะสำคัญทางสถิติเลย 


ถ้ามีคนเหล่านั้นจริง อยากแนะนำให้คุณไปบอกวัดเขาเลยว่าขอเงินคืนเถอะ ครอบครัวลำบาก ผมว่าวัดเขาจะคืนให้ 


ขนาดสหกรณ์คลองจั่น เงินเกือบพันล้าน ลูกศิษย์เขายังรวมตังส์กันคืนให้ วัดไม่ต้องทำอะไรเลย ดังนั้นถ้ามีจริงก็ไปบอกเขาซะนะ อย่ามาโวยวายขายสื่อไม่ได้ตังส์คืนหรอก

กลับมาที่เรื่องการปิดบัญชี คนแรกที่ไม่ได้ปิดคืออนันต์นั่นแหละ 

แกก็ทำธุรกิจเหมือนเดิม ไม่ได้ขายหุ้นขายทุกอย่างตามที่ชวนคนอื่นไว้ แล้วมึงคิดว่าจะมีใครปิดบัญชีตามบ้างล่ะ ถ้ามี ก็คงบริจาคได้ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ 

กลับบ้านไปรุ่งขึ้นก็ถือกะลาไปขอทานได้เลย แต่ความจริงก็เห็นวัดชวนทำบุญอะไร พวกนี้ก็ยังมีเงินทำได้อยู่เลยไม่เห็นหมด 

แสดงว่าปิดบัญชีกันมั้ยคงไม่หรอก แต่ถ้าถามว่ามีมั้ย ตรงนี้ไม่รู้นะก็อาจจะมี แต่โวยวายไหม ก็ไม่ แต่ถ้าโวยมึงก็ไปบอกเขาว่าขอคืน จบ

หรือถ้ายังไม่พอใจคิดว่าถูกศิษย์ธรรมกายหลอกก็ไปแจ้งความจะได้ไม่ค้างคาใจ

นี่เรากำลังพูดถึงคนนะเว้ย ไม่ใช่ควาย โดยเฉพาะคนธรรมกายไม่ใช่ตาสีตาสาจะได้ฟังอะไรก็บ้าทำตาม อนันต์ ไปหมด

ถ้าให้เดา บรรยากาศที่อนันต์พูดก็คือการปลุกใจให้ฮึกเหิม เหมือนทำงานน่ะ หัวหน้าก็มีหน้าที่มา motivate ลูกน้อง เช่น ปีนี้เราต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจมากกว่าเก่า ต้องมุ่งไปสู่เป้า 200 % ของบริษัทให้ได้ เพื่อ บลา อะไรก็ว่าไป 

หรืออย่างราชการ มันก็จะเพ้อเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ทำเพื่อประชาชนไม่คอรัปชั่น มีจิตสำนึกตามค่านิยมของรัฐบาลสองหมื่นแปดพันข้อ อะไรก็โม้ไปตามโปรแกรมที่ถูกตั้งไว้ พูดเสร็จคึกกันไป 3 วัน 

คิดว่าความสำเร็จมันเกิดเพราะคำพูด นั่งอมยิ้มภูมิใจ ถุยเถอะครับ สุดท้ายมึงก็กลับไปเหมือนเดิมอีก

ที่อนันต์พูด เป็นเรื่องลูกศิษย์วัดเขาปลุกใจกันทำเพื่อคนที่เขาเคารพรัก คือ หลวงพ่อของเขา ซึ่งก็บอกแล้วว่านี่เป็นธรรมชาติของคนวัดนี้คือทำจริง มุ่งมั่น แล้วต้องเอาจนเสร็จ 

ขายบุญไหม.? 

อันนี้ไม่รู้คลิปมันตัดมาแค่นั้น แต่เดานะว่าอนันต์พูดเสร็จลูกศิษย์เขาคงทุ่มทำกันเต็มที่ ไม่มีกั๊ก เพราะเป้าหมายเดียวกันก็ฮึดกันเป็นโอกาส ไป ไม่เห็นประหลาดตรงไหนเลย

ชิตังเม โป้ง รวย.?

ก็เหมือนประโยคที่ชอบเอามาล้อกัน "ชิตังเม โป้ง รวย" มึงว่าเขาเชื่อกันไหม บริจาคเสร็จก็คิดว่ากูจะรวยแล้วโว้ย กลับบ้านก็ไปนั่งกินนอนกินรอรวย บ้าแล้ว 

ก็เห็นเขากลับไปทำงานทำการ ขยันหาเงินมาบริจาคกันอีก 


ก็แสดงว่าคำนี้มันอาจเป็นคำที่ทำให้ฮึกเหิม ส่วนจะรวยไม่รวยนี่ไม่รู้ ซึ่งคนบริจาคเขาคงรู้เอง ถ้าหวังจะรวยทันทีทันใดแล้วมันไม่รวยเขาคงเลิกทำ 


แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเห็นทำกันอยู่แสดงว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับคำว่าจะรวยเท่าไหร่มัง 

คือมันจะรวยก็ต้องทำงาน อย่าขี้เกียจจะได้มีเงินมาบริจาคทำบุญอีก ส่วนชาติหน้าจะรวยไหม ไม่รู้โว้ยก็ไปดูกันต่อไป 

คนทำรู้ไหมว่าชาติหน้าจะรวยหรือเปล่า เขาก็ไม่รู้เหมือนเรานี่แหละ ถ้าเขาจะมั่นใจอย่างนั้นก็เรื่องของเขา เราเสือกอะไรล่ะ

ลองให้อนันต์เอาคำที่ว่า "บุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย" มาชวนสิ โคตร motivate อ่ะ มึงอย่าได้ทำอะไรเลยชาตินี้ นั่งปูเสื่อกินหมากให้หมาเลียปากไปเถอะ

การบิลท์อารมณ์แบบธรรมกายอาจจะสเกลใหญ่ไปหน่อยมาดูเสกลเล็กบ้าน น่ารัก กันดีกว่าครับ

คือผมมีโอกาสไปทำบุญที่วัดในจังหวัดอุตรดิตถ์แห่งหนึ่ง 

วันนั้นเป็นวันพระใหญ่ ชาวบ้านมาทำบุญกันเต็มศาลา คะเนน่าจะสัก 200 กว่าคน หลังจากทำพิธีถวายอะไรแล้วพระก็ฉัน 

จากนั้นหันมาจะให้พร แต่ยังไม่ให้หลวงพ่อท่านนั่งเฉย อยู่จังหวะนั้นมัคนายกก็ประกาศว่า ตอนนี้รถเข็นศพเวียนรอบเมรุของวัดเก่ามากแล้ว หลวงพ่อท่านอยากจะซื้อใหม่ ราคาประมาณหมื่นกว่าบาท (ผมจำตัวเลขจริงไม่ได้นะ)

มัคนายกพูดต่อไปว่า เราช่วยกันทำบุญไปซื้อตอนนี้เลยดีกว่า จะได้เอามาใช้งานได้เร็ว ๆ จากนั้นก็เริ่มโชว์ลีลาเพราะแกรู้จักทุกคนบนศาลาหมด ใครเป็นใคร ฐานะขนาดไหน น่าจะทำบุญได้เท่าไหร่ 

ว่าแล้วก็เปิดฉากบอกบุญชนิดไม่ทำไม่ได้เพราะแกไล่บอกเป็นคน เลย

ผู้ใหญ่เหน่งทำเท่าไหร่ดี สักพันนึงแล้วกันนะผู้ใหญ่ พูดเสร็จคนบนศาลาหัวเราะชอบใจกันใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ยิ้มรับเหมือนกันเป็นอันว่าตกลง

แม่บุหงาล่ะ  ป้าแกเผยอปาก แต่ไม่มีเสียงออกมาว่า 500 แต่มัคนายกโวยวายว่าทำไมแค่ 500 ล่ะ น้อยไป  เสียชื่อเศรษฐีใหญ่หมด ตกลงได้มาอีกพัน

จากนั้นก็ไล่ไปคนนั้นคนนี้อีกหลายคน แกแหย่เขาแบบทีเล่นทีจริง บางทีพูดจนคนไม่กล้าปฏิเสธ บางคนดูหน้าแล้วไม่อยากทำเยอะหรอก แต่ถูกคะยั้นคะยอจนอายคนอื่นเขา เลยยอมทำจะได้หมดเรื่องไป 


บางคนทำ 200 บ้าง 300 บ้าง ก็ตามแต่ฐานะและความสมัครใจ ระหว่างพูด จะมีคนเดินไปเก็บเงินจากคนที่รับปากไว้ทันที จนถึงเวลาที่หลวงพ่อให้พรแล้วลงจากศาลาไป

บอกตามตรงผมโคตรชอบบรรยากาศที่มัคนายกชวนคนทำบุญจริง มันดูบ้าน แต่เอื้อเฟื้อจริงใจ มีมุขแหย่ให้คนขำ แถมได้ตังส์มาให้หลวงพ่อซื้อรถเข็นศพด้วย 

แม้วิธีที่ใช้ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ คล้ายบังคับให้ทำ แต่ไม่มีใครถือสาหาความ 

วิถีชาวบ้านก็แบบนี้  เสียดายที่วันนั้นรวมเงินแล้วก็ยังไม่พอซื้ออยู่ดี แต่แค่นี้ก็เบาแรงหลวงพ่อไปเยอะเลย บรรยากาศบอกบุญบ้าน ผมว่าอบอุ่นดี แค่เห็นกุศโลบายที่มัคนายกใช้ ก็อดอมยิ้มไม่ได้แล้วครับ

พอละเดี๋ยวยาว (มึงยาวไปตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เดี๋ยว) มาว่าตามหลักคัมภีร์ดูบ้างดีกว่า

จะด่าพุทธที่ทำไม่ถูกใจ

ก็เอาพระไตรปิฎกมาอ้าง


ต้องกราบขออภัยหลวงพ่อพุทธทาสด้วยนะครับ ไม่ได้จะลบหลู่อะไร ผมก็ว่าไปแบบแฟร์ เอาตามที่คลิปมันยกคำพูดมา ส่วนก่อนและหลังคำเหล่านั้น หลวงพ่อกำลังมุ่งสอนอะไร ผมก็ไม่รู้ครับดังนั้นขอขมาไว้ก่อน เซฟ

ไอ้คนตัดคลิปมันอาศัยเครดิตหลวงพ่อมาใช้ คือคิดว่าท่านพูดอะไรก็ต้องถูกหมด เพราะเป็นพระมีชื่อเสียงความจริงไม่แน่หรอก ในเมืองไทย ทั้งพระทั้งโยมเก่ง ก็อาจเข้าใจคำสอนไม่เหมือนกัน คำสอนเดียวกันแต่ตีความหมายต่างกันไป 

ไม่ต้องมากหรอก แค่เรื่องนรก สวรรค์ มีกล่าวในพระไตรปิฎกเป็นเล่ม   แต่พระบางรูปไม่กล้าพูดเรื่องนี้ตรง เพราะไม่มั่นใจ บางองค์บอกว่าเป็นเรื่องเปรียบเทียบไปเลยก็มี 

ตกลงคือเลือกเชื่อใช่ไหม เวลาจะด่าใครก็บอกสอนไม่ตรงพระไตรปิฎก แต่ไอ้ที่มีหลักฐานอยู่ทนโท่ ก็ตีความเป็นอย่างอื่น บอกไม่ใช่ อย่างนี้บิดเบือนไหมไปคิดเอา

พระสายปริยัติ กับสายปฏิบัติก็อาจเข้าใจไม่ตรงกัน ฝ่ายหนึ่งว่าตามตำรา อีกฝ่ายอิงประสบการณ์มากกว่า ไม่ติดกรอบตรงนี้ใครจะศรัทธาเลื่อมใสฝ่ายไหนก็ตามสบาย ควายไม่ขวิด

คนแต่ละคนไม่ได้เก่งไปทุกอย่าง 

อย่างถ้าจะเดินป่า ผมขอเดินตามนายพรานที่เรียนมาน้อย ดีกว่าเดินต้อย ตามนายแพทย์ไป หรือถ้าอยากจะปลูกข้าว ผมก็ให้เครดิตชาวนา มากกว่านักวิชาการทั้งหลาย จะทำมาค้าขาย ผมเชื่อนักธุรกิจมากกว่าอาจารย์เศรษฐศาสตร์ ที่ทั้งชาติไม่เคยทำธุรกิจจริง

อย่างหลวงพ่อพุทธทาส เมื่อก่อนท่านก็เคยเอาเรื่องพุทธมหายานมาสอน หรือพุทธแบบเซ็นก็ยังมี แต่ไม่เห็นจะมีใครไปว่าอะไรซึ่งทำถูกแล้ว เพราะมันแล้วแต่ใครจะเข้าใจธรรมะไปทางไหนเท่านั้นเอง

ถ้าว่าทางตำรับตำรา ผมให้น้ำหนักไปทางอนันต์นะ (อย่าเพิ่งหงุดหงิดโว้ย อ่านไปก่อน)

การบริจาคแบบอนันต์ 

เพราะบริจาคแบบอนันต์ มันมีตำรารองรับวิธีนั้นอยู่จริง คือการทำบุญบริจาคเนี่ย มันมี 2 แบบใหญ่ แบ่งตามใจผมนะ

แบบแรกคือที่พระพุทธเจ้าทรงสอนทั่ว ไป 

และพระกับคนไทยชอบใช้สอนกัน เช่น หลักการแบ่งทรัพย์ หลักการใช้จ่ายทรัพย์ โดยแบ่งทรัพย์บางส่วนมาบริจาคให้ทาน ไม่ได้พูดถึงความมากน้อย จะเรียกว่าทำไปตามศรัทธาก็ได้มัง 

ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ทำให้มีคนชอบอ้างว่า บริจาคมากได้บุญมากไม่จริง ธรรมกายโดนยิงเรื่องนี้บ่อย

ความจริงแม้พระพุทธเจ้าจะไม่ได้พูดถึงความมากน้อยตรง   แต่ก็มีอ้อม อยู่นะ (ถ้าเล่าก็ยาว ขอผ่านก่อน แต่เอาว่ามีละกัน)

ในแบบแรกนี้ ทรงเน้นว่าบุญเกิดมากต้องอาศัยทำบุญให้ถูกเนื้อนาบุญ คือ ทำกับสงฆ์เป็นหลัก 

พวกสงเคราะห์โรงพยาบาล โรงเรียน ช่วยเด็กยากไร้ ท่านไม่ห้ามแต่เมื่อเทียบกับสงฆ์แล้วได้บุญจิ๊ดเดียว

ในตำราบางทีแค่เลื่อมใส บางทีให้ดอกไม้ บางทีให้เข็ม ด้าย รองเท้า มูลค่าไม่กี่บาท แต่ได้บุญมาก ไปเกิดบนสวรรค์ได้ แต่ถามว่าไปได้เพราะเงินเล็กน้อยหรืออะไรคำตอบคือไม่ใช่ 

แต่เพราะไปทำกับเนื้อนาบุญ คือ สงฆ์  คนจึงชอบเอาเรื่องนี้มาตีธรรมกาย ทั้งที่ไม่เคยไปดูเลยว่า คนที่ทำมากกว่าได้ผลมากกว่าคนทำน้อยมีจริง  

(ถ้าองค์ประกอบเหมือนกัน เช่น ศรัทธาเท่ากัน ทำในสงฆ์ชุดเดียวกัน เจตนาเหมือนกัน เป็นต้น คราวนี้ละปริมาณทรัพย์ที่บริจาคไปจะให้ผลต่างกันละ) 


แบบที่ 2 คือแบบที่อนันต์พูดนี่แหละ 

ความจริงคนไทยก็เคยได้ยินนะ แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีคนทำจริงได้ ขนาดพระโพธิสัตว์ยังถูกเอามาวิพากษ์วิจารณ์ ซะเสียหายก็มี

แบบนี้เรียกว่า "สร้างบารมีแบบพระโพธิสัตว์" ใครเคยอ่านตอนสมัยพระพุทธเจ้าของเราไปเกิดเป็นดาบสชื่อสุเมธ สมัยนั้นท่านเอาชีวิตถวาย โดยนอนทำตัวแทนสะพานบนดินโคลนให้พระพุทธเจ้าเหยียบผ่าน 


แล้วตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าบ้างในอนาคต ซึ่งพระพุทธเจ้าองค์นั้นทำนายว่าจะได้เป็นสมใจ

จากนั้นดาบสก็ไปนั่งสมาธิพิจารณาด้วยอภิญญาสมาบัติของตัวว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ แล้วท่านพบว่าต้องสร้างบารมี 10 ข้อ 

ข้อแรกคือต้องให้ทาน เรียกว่า ทานบารมี (บารมีก็คือบุญนั่นแหละ แต่เป็นบุญที่ต้องทำแบบยิ่งยวดจริงจัง ชนิดยอมตายกันเลย)

ให้ขนาดไหน อย่างไร ?

คำตอบคือมีเท่าไหร่ให้หมดไม่หวงอะไรเลย พูดภาษาปัจจุบันก็คือให้กันหมดตัว ทำอย่างนี้ไปนับชาติไม่ถ้วน วันหนึ่งจะได้เป็นพระพุทธเจ้าสมใจ

แต่ถ้าทำแบบแรก คือ สบาย ไม่เน้นมากทำพอขำ ถ้าไม่ทำชั่วอื่นอีกก็คงพอเอาตัวรอดได้ 

แต่เท่าที่เห็นคนไทยพุทธปัจจุบัน 

เอาแต่พร่ำเรื่อง พุทธแท้พุทธเทียม ถกเถียงว่านั่นถูกนี่ผิด แต่ใช้ชีวิตอย่างระยำ กินเหล้ามากกว่าเข้าวัด ปีหนึ่งทำบุญไม่กี่ครั้ง แล้วมึงจะหวังบรรลุอะไรนรกไม่สูบลงไปก็ดีตายห่าแล้ว

พระโพธิสัตว์ให้หมดแล้วไม่ตายหรือ

คือท่านก็ไม่ถึงกับให้แบบนี้ทุกชาติ แต่เมื่อมีโอกาสก็ทำแบบนี้แหละเป็นปกติ

สิ่งที่ท่านทำคนทั่วไปไม่เข้าใจหรอก คือมันเกินภูมิ เกินกว่าจะจินตนาการ เหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ ย่อมไม่เข้าใจชีวิตบนอากาศของนก

ธรรมดาคนเรา เห็นอะไรต่างจากที่ตัวคุ้นเคยจะไม่ค่อยสบายใจ ยิ่งถ้าต่างมากไปจะไม่โอเคเลย เช่น ถ้าเป็นคนพูดเพราะ แต่ต้องอยู่กับคนปากหมาก็อาจหงุดหงิดบ้าได้  

เหมือนชาติที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็น เวสสันดร สมัยนั้นทำทานเพียบเลยมีเท่าไหร่ ใครขออะไรให้หมด ให้กระทั่งเมีย ลูก ถ้าเป็นสมัยนี้คงโดนประชาทัณฑ์ ใจร้ายผิดมนุษย์มนาไม่สงสารลูกเมีย  


แต่เพราะทำอย่างนั้น ท่านจึงมาเป็นพระพุทธเจ้าของเราตอนนี้ตอนนั้นถูกด่าตอนนี้มาสรรเสริญ ตกลงเอาไงที่ทำไปผิดหรือถูกล่ะ


ธรรมกายก็สอนลูกศิษย์ให้สร้างบารมีอย่างพระโพธิสัตว์ 

ทำจริงทำเยอะมาก แต่มีลิมิตไม่ถึงกับทำหมดจนอดตาย  เพราะใจยังไม่แกร่งขนาดพระโพธิสัตว์ 

แต่คนธรรมกาย จะถูกฝึกให้ทำเต็มกำลังของตัวทำเท่าที่ไปไหว เกินกว่านั้นก็ยังไม่ต้องไปเดี๋ยวตายจริงกันพอดี

แต่ทำแค่นี้ ธรรมกายก็มีทุนทำงานศาสนาได้ มากมายแล้ว เช่น สามารถช่วยเหลือพระภาคใต้ต่อเนื่องมาได้ 13 ปี ช่วยชาวบ้านตอนน้ำท่วม ช่วยสารพัดช่วย 

แล้วก็ทำงานเผยแผ่ไปได้กว้างไกลอย่างที่ไม่เคยมีวัด สำนักพุทธฯ  มหาเถรสมาคม หรือรัฐบาลสมัยไหนทำได้ใกล้เคียงมาก่อน (วัดเดียวทำได้ขนาดนี้ ปรบมือสิครับ รออะไร)

ทำบุญที่แท้ True

ต้องไม่เสียเงินจริงหรือ?


ทีนี้มาถึงคลิปตัวหลังที่บอกว่า 

"บุญอันแท้จริงนั้น ไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องใช้เงินมาก เป็นของให้เปล่า ไม่คิดสตางค์ ยิ่งใช้เงินมาก ยิ่งไม่ใช่บุญ หรือถึงกับว่าบุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย "

จะว่าถูกก็ถูกจะว่าไม่ถูกก็ไม่ถูกอ่ะนะ (อ่ะ ตอบกวนตีนละเนี่ย)

คือผมหมายถึงมันถูกบางส่วน ไม่ถูกบางส่วนน่ะ

คืองี้บุญที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินเลยน่ะมันมี แต่บุญที่เกิดขึ้นเพราะเงินมันก็มีเหมือนกัน เช่นให้อภัยทาน ไม่ใช้เงิน ก็ได้บุญ รักษาศีล ไม่ใช้เงิน นั่งสมาธิ ไม่ใช้เงิน ได้บุญไหม...ได้บุญสิ  

แต่วิธีเหล่านี้บางทีก็ต้องเสียเงินทางอ้อมนะ ไม่ใช่ไม่เสียอะไรเลย

"บุญเป็นของให้เปล่า ไม่คิดสตางค์" เรื่องนี้ไม่แน่ แต่ที่แน่คือบุญไม่มีได้เปล่าหรอก ต้องออกแรงทำความดีนอนอืดเป็นหมูเฉย ไม่มีทางได้บุญหรอกครับ

"ยิ่งใช้เงินมาก ยิ่งไม่ใช่บุญ หรือถึงกับว่าบุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย" ตรงนี้แล้วแต่ Condition นะ ถูกบ้างบางส่วน แต่ไม่ทั้งหมด

เอางี้ดีกว่า พระพุทธเจ้าสอนว่าบุญเกิดได้ 3 ทาง คือ ทำทาน หรือบริจาค, รักษาศีล และนั่งสมาธิภาวนา

ทั้ง 3 สิ่งนี้ มีการบริจาคเป็นรากฐานทั้งสิ้น ถ้าไม่มี การบริจาค ก็รักษาศีลยาก หรือทำไม่ได้ เมื่อทำศีลไม่ได้ จะทำ สมาธิภาวนา ก็ไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้น ก็อย่าหวังจะหมดกิเลสไปนิพพานได้เลย

ทาน จึงเป็นเหมือนเสาเข็มของชีวิต จะสูงส่ง ตกต่ำ ก็อยู่ที่ฐานรากแข็งแรงไหม พระพุทธเจ้ายังตรัสไว้ว่า "ศีล คือ มหาทาน" แต่มันเป็นทานที่ประณีตกว่าแล้วไม่เสียเงินอย่างที่ว่ามาไง 

แต่ฐานมันต้องเสียเงินมาก่อนน่ะไม่งั้นขยับสูงขึ้นมาไม่ได้หรอก

คราวนี้มาดูกันเรื่อง เสียเงินโดยตรงกับเสียโดยอ้อม เป็นอย่างไร (เงินในที่นี้หมายถึงทรัพย์ สมบัติ หรืออะไรที่มีมูลค่านะ)

1.บุญจากการให้ทาน 

อันนี้ชัดอยู่แล้วเงินแน่นอน ถ้าสมัยก่อนอาจไม่เท่าไหร่ อาหารการกิน เก็บผัก ตำน้ำพริก ปูปลาหาในน้ำ หมู่ ไก่ ไข่ พืชผักสวนครัวเลี้ยงปลูกเองได้ไม่ค่อยใช้เงิน

จะสร้างกุฏิ ศาลา ไปตัดไม้มามุงจากมุงแฝกกันไป ใช้เงินไม่มากแต่เงินไหม...เงิน ปัจจุบันวัดหนึ่งวัดที่อยู่ได้โดยไม่รับเงินเลยมีไหมไม่รู้นะแต่ถ้ามีมาบอกด้วยโคตรแอนทีคอยากเห็น

พระในอดีตสปีดชีวิตเท่ากับชาวบ้านทั่วไป เดินทางก็ใช้เดิน หรือไปกับเกวียนพ่อค้า นั่งเรือพายข้ามฝากเหมือนชาวบ้านเขา

ดื่มน้ำตามแม่น้ำ บริขารของพระ 1 ใน 8 จึงคือกระบอกกรองน้ำไง ปัจจุบันบวชพระถามว่ามีใช้กันไหม หายากแล้วครับ มึงจะกล้าไปกรองน้ำที่ไหนมาดื่มล่ะ

ผ้าที่นุ่งก็ผ้าแบบชาวบ้าน เอามาย้อมเอง ตัดเย็บเอง ไปขอด้ายขอเข็มจากโยมมาทำ
กุฏิก็ไปขอไม้ ขอหญ้ามามุงมาบัง ใช้ดิน ขี้วัว เหมือนบ้านชาวบ้านสมัยนั้น

สปีดชีวิตเท่า กันอย่างนี้แต่ปัจจุบันนี่ไม่ใช่แล้วครับ

น้ำดื่มต้องเสียเงินซื้อ จะรองน้ำฝนก็ต้องใช้โอ่งใช้ตุ่ม ปั้นเองรึ ไม่สิ ต้องซื้ออยู่ดี  บางที่ใช้น้ำประปา ก็ต้องใช้เงิน บางที่ใช้น้ำบาดาล เครื่องสูบน้ำก็กินน้ำมัน กินไฟ ใช้เงินอีก กลางคืนมีกี่วัดที่ใช้เทียนบ้าง หายาก ส่วนใหญ่ใช้ไฟฟ้า ก็คือเงินอีก

เมื่อก่อนฉันในบาตรใบเดียว เดี๋ยวนี้ก็มีที่ฉันในบาตร แต่พอโยมมาทำบุญก็ต้องซื้อหม้อรามชามไห กระทะ เตาแก๊ส จาน ชาม มีด เขียง สารพัด เงินทั้งนั้นครับ

สร้างกุฏิ เดี๋ยวนี้เป็นไม้ตัดเองผิดกฎหมายอีก ต้องซื้อมา บางทีเป็นปูน ปูกระเบื้อง หลังคา เงินทั้งนั้น

เมื่อก่อนจะแฝกจะหญ้าจะไม้ โยมที่ไหนเอามาถวายก็คล้าย กัน  แต่ปัจจุบันถ้าบอกโยมให้ซื้อกระเบื้องมาทำบุญตามศรัทธา โยมต่างคนต่างก็หิ้วมาหลากหลายขนาด หลายยี่ห้อ หลายลาย สุดท้ายมึงจะได้กุฏิแฟนซีมาหลังนึง

อื่น ก็ลองคิดเอาเองเถอะ ว่าถ้าปัจจุบันเกิดมีพระหรือวัดไหนสอนโยมว่า "บุญที่แท้จริงไม่ใช้เงินเลย

อันนี้ไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่อยากเห็นจริง เอาแบบพอโยมจะถวายเงินทำบุญ แล้วบอกโยมว่า โยมอยากได้บุญโดยไม่ใช้เงินไหม ถ้าเป็นผม เอานะ จะได้เก็บเงินไว้ทำอย่างอื่น เพราะไม่ใช้เงินก็ได้บุญนี่

แต่อยากรู้ว่าท่านจะจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าอะไรต่อมิอะไรอย่างไร และท่านจะใช้ชีวิตในสปีดเดียวกับคนปัจจุบันได้อย่างไรกัน

สมมุติโยมนิมนต์ท่านไปโปรดที่บ้าน ซึ่งห่างจากวัดสัก 50 กิโล ถ้าสมัยก่อน ชาวบ้านเดินไป นั่งเกวียนไป ก็ไปพร้อมเขา แต่เดี๋ยวนี้โยมที่นิมนต์เขาหมายถึงท่านสามารถไปถึงได้ในเวลาไม่กี่นาทีด้วยรถยนต์ 

เขาจึงนัดได้ไงว่านิมนต์ 9 โมง หรือ 10 โมง พระก็กะเวลาถูกว่าต้องออกจากวัดตอนไหนจึงจะไปทันเวลารถที่ใช้ไม่ได้เติมน้ำแต่ใช้น้ำมัน เงินทั้งนั้นครับ 

นี่ไง สปีดชีวิตคนมันเปลี่ยนไป พระก็ต้องปรับให้ทันด้วยถ้าไม่ทำ ศาสนาพุทธก็จบกันตรงนี้แล้วครับ


ศีล สมาธิ บุญที่ใช้เงินทางอ้อม

2. รักษาศีล กับนั่งสมาธิภาวนา ขอควบไปด้วยกันเลย คิดว่าต้องใช้เงินไหมครับ อย่างโยมจะไปถือศีล 8 นั่งสมาธิที่วัดใช้เงินไหม 


ตอนถือศีลกับนั่งสมาธิน่ะไม่ต้องใช้โดยตรง แต่โดยอ้อม ยังไงก็ไม่พ้นเงิน เสื้อผ้าชุดขาว อาสนะนั่งสมาธิ ค่าเดินทาง  ค่าอาหาร (กินของวัดฟรีไม่สบายใจหรอก อย่างน้อยต้องบริจาคเงิน

บางคนมีค่ากลดแบบธุดงค์ด้วย กระป๋งกระเป๋า ข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องเตรียมไป เงินทั้งนั้นครับ

สรุปเลยดีกว่าว่า... 

ถ้าพระจะใช้ชีวิตสปีดเดียวกับชาวบ้านเขาไม่มีเงินอยู่ไม่ได้ครับ อย่ามาโลกสวย พุทธแท้ ปล่อยวาง บ้าบอเลยคนละเรื่องกัน

และที่โคตรขำ คือ ไอ้มนุษย์ที่ชอบเอาความเก่าความโทรมมาวัดคุณค่าของพระแต่ละองค์  องค์ไหนอยู่กุฏิเก่า นุ่งผ้าปอน โอ้ยชื่นชม องค์ไหนอยู่กุฏิใหญ่หน่อย ผ้านุ่งผ้าห่มอย่างดี ก็ด่าว่าไม่มีความสันโดษ

ขอโทษที คุณค่าของพระเขาไม่ได้วัดกันที่กุฏิกับจีวรโว้ย

ถึงที่สุดเลย คนที่อยากสร้างบุญมาก ขนาดจะตัดทุกอย่างออกบวช คุณว่าต้องใช้เงินไหม.?

ใช้สิครับ ไหนจะค่าบาตร ค่าไตรจีวร ต่อให้บวชฟรี แต่คุณก็ยังมีค่าใช้จ่าย แม้จะบวชไม่สึกไปจนตาย คุณก็ต้องสละของทั้งหมดก่อนบวช กางเกง เสื้อผ้า กีต้าร์ รองเท้าคู่เก่ง รถยนต์ บ้าน จินตนาการเอาเถอะ มีมูลค่าทั้งนั้น

เท่ากับคุณต้องให้สมบัติ ซึ่งปัจจุบันเรียกมันว่า "เงิน" ซะก่อน คุณจึงจะไปรักษาศีล หรือนั่งสมาธิ อย่างที่คุณฝันไว้ได้ แล้วแต่ละวันที่คุณว่าได้บุญ (จากศีล สมาธิ) โดยไม่ใช้เงินน่ะ 


รู้ไว้ด้วยว่าอย่างน้อยก็ต้อง ใช้เงินคนอื่นอยู่ดี อย่างพระต้องบิณฑบาตขอข้าวโยมมาฉัน คิดว่ามันงอกออกมากันเองเรอะ โยมเขาเสียเงินไปซื้อมาให้ทั้งนั้น

ดังนั้น คุณไม่มีทางจะทำบุญอะไรได้โดยไม่ใช้เงินจริง หรอก แค่ใช้มากหรือใช้น้อยเท่านั้นแหละแล้วแต่คน


คัมภีร์อรรถกถา

ดักคอทำบุญไม่ใช้เงิน


คัมภีร์อรรถกถาที่อธิบายพระไตรปิฎกจึงพูดดักคนที่ชอบคิดว่าบุญเกิดได้โดยไม่ต้องใช้เงินว่า

คนที่อาศัยปัญญา แต่ศรัทธาน้อย จึงดื้อ แก้ไขยาก คิดแต่ว่ากุศลมีได้ด้วยสักว่าทำให้เกิดขึ้นในจิตเท่านั้น แล้วไม่ทำกุศล มีการให้ทานเป็นต้น ย่อมเกิดในนรก "

ดังนั้น ถ้าคุณให้น้อยแล้วสบายใจ ก็ให้น้อยไป แต่ไม่ต้องไปด่าคนอื่นว่าทำไม่ถูก มันเงินเขาไม่ใช่เงินมึง

หรือถ้าคุณคิดว่าไม่ต้องใช้เงินก็ได้บุญ คุณก็ไม่ต้องให้แต่ไม่ใช่กงการอะไรจะไปด่าคนที่ให้อย่างที่อนันต์ทำ ย้ำอีกครั้งว่า เพราะมันไม่ใช่เงินมึง

หรือถ้าคุณอดรังเกียจคนที่เขาคิดต่าง และทนเห็นคนให้ทานต่างจากที่คุณให้ไม่ได้ ก็ภาวนาในใจว่า เงินเขาไม่ใช่เงินมึง.! จบนะ


คมความคิด
13 มีนาคม 2560

Previous
Next Post »

1 ความคิดเห็น:

Click here for ความคิดเห็น
Unknown
admin
30 มิถุนายน 2562 เวลา 07:50 ×

ไอ้บ้า..!

Congrats bro Unknown you got PERTAMAX...! hehehehe...
Reply
avatar